วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2012

บารัค โอบามา “นี่คือการเลือกอนาคตของอเมริกาที่แตกต่างกันสองทาง” 2/2

คำแปลคำปราศรัยรับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง ของบารัค โอบามา (คำปราศรัยครึ่งแรก)
ต้นฉบับจาก NPR ตัวอักษรสีแดงคือหมายเหตุของทีมงาน SIU

ภาพจาก Flickr Barack Obama
ในโลกที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามและปัญหาแบบใหม่ๆ คุณมีสิทธิเลือกผู้นำที่ผ่านการทดสอบงานจริงมาแล้ว เมื่อสี่ปีก่อน ผมสัญญาว่าจะจบสงครามในอิรัก และเราก็ทำได้จริง (ปรบมือ) ผมสัญญาว่าจะกลับมาโฟกัสเรื่องการก่อการร้ายที่โจมตีเราในเหตุการณ์ 9/11 และเราก็ทำได้จริง (เสียงปรบมือ) เราโต้กลับพวกตาลีบันในอัฟกานิสถาน และในปี 2014 สงครามอันยาวนานของพวกเราจะสิ้นสุดลง (เสียงปรบมือ) อาคารสูงถูกสร้างขึ้นใหม่บนเส้นขอบฟ้าของนิวยอร์ก อัลเคด้ากำลังจะพ่ายแพ้ และโอซามา บิน ลาเดน ก็ตายแล้ว (เสียงปรบมือ)
คืนนี้เราขอให้เกียรติแก่เพื่อนชาวอเมริกันของเราที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ เสียงอันตราย เราเป็นหนี้พวกเขาซึ่งเสียสละตัวเองให้ประเทศนี้ปลอดภัยไปชั่วกาลนาน เราจะไม่ลืมพวกคุณ และตราบเท่าที่ผมเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของสหรัฐ เราจะรักษากำลังทหารที่เข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์โลกต่อไป (เสียงปรบมือ) เมื่อใดที่พวกคุณถอดชุดทหาร พวกเราจะตอบแทนคุณเป็นอย่างดีสมกับที่คุณเสียสละให้ประเทศชาติ ไม่มีควรมีทหารผู้รับใช้ชาติคนไหนที่ต้องกลับมาเดินหางานทำ หาบ้านอยู่อาศัย หาเงินค่ารักษาพยาบาลเมื่อกลับมายังประเทศบ้านเกิด (เสียงปรบมือ)
เราปรับปรุงความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรเก่าแก่ และพัฒนาความสัมพันธ์กับมิตรประเทศใหม่ๆ เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ เราเพิ่มกำลังของเราในแปซิฟิกเพื่อคานกำลังกับจีน ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลิเบีย ซูดานใต้ เราเดินหน้าเพื่อสิทธิมนุษยชนและเกียรติยศของความเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง คริสต์ อิสลาม และยิว (เสียงปรบมือ)
แต่ถึงแม้ว่าเราทำงานได้คืบหน้า ความท้าทายยังมีอยู่ เราต้องสกัดกั้นแผนการก่อการร้าย วิกฤตการเงินในยุโรปต้องคอยบรรเทา คำสัญญาช่วยเหลืออิสราเอลด้านความมั่นคงต้องไม่จางหาย เฉกเช่นเดียวกับความฝันของพวกเราที่ต้องการสันติภาพ (เสียงปรบมือ) รัฐบาลอิหร่านจำต้องเจอกับแรงกดดันของประชาคมโลกที่ไม่ต้องการนิวเคลียร์ ส่วนการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ในโลกอาหรับจะต้องไม่ตกไปอยู่ในกำปั้น เหล็กของเผด็จการ หรือผู้นำหัวรุนแรงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่ต้องเป็นความหวังและแรงบันดาลใจของคนธรรมดา ผู้ซึ่งต้องการทวงสิทธิของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับทุกท่านที่ยืนอยู่ในวันนี้มีอยู่ (เสียงปรบมือ)
แน่นอนว่าทุกคนมีสิทธิเลือก คู่แข่งของผมและรองประธานาธิบดีของเขายังไม่ประสีประสาอะไรเลยกับนโยบายการต่างประเทศ (เสียงหัวเราะ)
แต่เท่าที่เราได้ยินได้ฟังมา พวกเขาต้องการพาเรากลับไปยังยุคสมัยแห่งการโอ้อวดและงุ่มง่าม ที่สร้างความเสียหายให้อเมริกาอย่างหนัก
นอกจากนี้ คุณคงไม่เรียกรัสเซียว่าเป็น “ศัตรูอันดับหนึ่งของอเมริกา” ใช่ไหมครับ รัสเซียนะ ไม่ใช่อัลเคด้า (เสียงหัวเราะ) เว้นเสียแต่ว่าสมองคุณยังอยู่ในหล่มปลักของสงครามเย็นอยู่อีก (เสียงปรบมือ)
ถ้าหากคุณไปชมโอลิมปิกพร้อมกับดูถูกพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของเรา * คุณก็คงไม่พร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลปักกิ่งใช่ไหมครับ (เสียงหัวเราะ)
(* มิตต์ รอมนีย์ เคยตั้งคำถามว่าลอนดอนพร้อมจัดโอลิมปิกจริงๆ หรือ และระบุว่าการเตรียมพร้อมของลอนดอนนั้นแย่มาก อย่างไรก็ตาม รอมนีย์เคยเป็นซีอีโอจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 2004 ของสหรัฐ)
คู่แข่งของผมบอกว่าการสิ้นสุดสงครามในอิรักเป็นโศกนาฏกรรม และเขาก็ยังไม่เคยบอกว่าจะหยุดสงครามในอัฟกานิสถานอย่างไร แต่ผมประกาศชัดเจนและผมจะจบมันจริงๆ (เสียงปรบมือ) คู่แข่งของผมอาจเพิ่มงบประมาณซื้ออาวุธที่ผู้บัญชาการของเราบอกว่าไม่ต้อง การ แต่ผมจะใช้เงินก้อนนี้จ่ายหนี้ของประเทศ และสร้างงานให้กับประชาชน (เสียงปรบมือ) สร้างถนน สะพาน โรงเรียน สนามบิน สงครามใหญ่สองครั้งทำให้เราเสียคนไปนับพันชีวิต และงบประมาณอีกล้านล้านดอลลาร์ ได้เวลากลับมาสร้างประเทศของตัวเองแล้วครับ (เสียงปรบมือ)
คุณอาจเลือกอนาคตที่เราลดการขาดดุลงบประมาณโดยไม่ผลักภาระมายังคนชั้น กลาง (เสียงปรบมือ) นักวิชาการอิสระบอกว่าแผนการของผมสามารถลดการขาดดุลงบประมาณลงได้ 4 ล้านล้านดอลลาร์ และหน้าร้อนที่ผ่านมา ผมร่วมกับ ส.ส. พรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสตัดค่าใช้จ่ายลงอีกหนึ่งพันล้านดอลลาร์ เพราะเราทั้งสองฝ่ายเชื่อว่ารัฐบาลควรทำงานหนักกว่าใครในการปฏิรูปงบประมาณ เพื่อให้การทำงานคล่องตัว มีประสิทธิภาพ ตอบสนองประชาชนอเมริกันได้มากขึ้น (เสียงปรบมือ)
ผมอยากปฏิรูประบบภาษีให้เรียบง่ายและยุติธรรม คนที่ร่ำรวยมีรายได้มากกว่า 250,000 ดอลลาร์ต่อปีควรจ่ายภาษีให้มากขึ้น (เสียงปรบมือ) ในอัตราเดียวกับสมัยของประธานาธิบดีบิล คลินตัน * ในอัตราเดียวกับตอนที่เศรษฐกิจของเราจ้างงานใหม่ถึง 23 ล้านตำแหน่ง มีงบประมาณเกินดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มีเศรษฐีเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก (เสียงปรบมือ)
(* ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งพรรครีพับลิกัน ได้สั่งลดภาษีให้กับคนรายได้สูง หลังเป็นรัฐบาลต่อจากรัฐบาลเดโมแครตของคลินตัน)
ตอนนี้ผมยังอยากแก้ปัญหาเรื่องหนี้ร่วมกับคณะกรรมาธิการเรื่องหนี้ สาธารณะ ที่ประกอบด้วยคนจากทั้งสองพรรค ไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดที่ฉลาดไปเสียทั้งหมด กระบวนการประชาธิปไตยต้องมีการประนีประนอม ผมต้องการแก้ปัญหานี้ให้ได้ และพวกเราทำได้
แต่เมื่อผู้ว่าการรัฐรอมนีย์และเพื่อนๆ รีพับลิกันของเขาในสภาคองเกรสบอกเราว่า เราสามารถลดการขาดดุลงบประมาณลงได้ โดยโยกงบประมาณหลายล้านล้านดอลลาร์ไปช่วยลดภาษีให้กับคนรวย อืม (บู) ท่านประธานาธิบดีบิล คลินตัน เรียกว่าอะไรนะ? อ่อ ให้บวกเลข * (เสียงหัวเราะ) คุณลองคิดเลขเองได้นี่ครับว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร
(ดูรายละเอียดใน คำปราศรัยของบิล คลินตัน)
ผมปฏิเสธแนวทางนี้ และตราบเท่าที่ผมเป็นประธานาธิบดีก็อย่าฝันว่ามันเป็นไปได้ (เสียงปรบมือ) ผมปฏิเสธไม่ให้ครอบครัวชั้นกลางต้องหยุดการจ่ายเงินค่าบ้านหรือค่าเลี้ยงลูก เพียงเพราะต้องมาจ่ายเงินชดเชยให้กับการลดภาษี (เสียงปรบมือ) ผมปฏิเสธไม่ให้นักเรียนต้องจ่ายค่าเรียนเพิ่มหรือไล่เด็กคนไหนออกจากโครงการ Head Start * เพื่อตัดประกันสุขภาพออกจากชีวิตคนอเมริกันที่ยากจน แก่ชรา หรือขาดโอกาสนับล้าน แล้วให้คนที่รวยที่สุดของประเทศจ่ายเงินน้อยลง ผมจะไม่มีวันเดินบนเส้นทางนั้น (เสียงปรบมือ)
(* Head Start คือโครงการสนับสนุนเด็กและครอบครัวรายได้ต่ำเรื่องการศึกษา สุขภาพ โภชนาการ)
และผมจะไม่มีวันเปลี่ยน Medicare เป็นระบบบัตรคูปอง * (เสียงปรบมือ) ไม่ควรมีอเมริกันคนไหนต้องใช้ชีวิตยามแก่เฒ่าโดยอาศัยความปราณีของบริษัท ประกันสุขภาพ พวกเขาควรเกษียณตัวเองโดยได้รับการคุ้มครองและเกียรติยศสมกับที่ทำงานมาตลอด ชีวิต ใช่ครับ เราจะปฏิรูปและพัฒนาโครงการ Medicare ในระยะยาว แต่เราจะปฏิรูปมันโดยลดค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุขโดยรวม ไม่ใช่การขอให้คนชราจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายพันดอลลาร์เพื่อชดเชย (เสียงปรบมือ)
(* ข้อเสนอของพอล ไรอัน ผู้สมัครรองประธานาธิบดีของรีพับลิกัน ดูรายละเอียดในบทความ รู้จัก ‘พอล ไรอัน’ (Paul Ryan) ผู้สมัครรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรครีพับลิกัน)
เราจะรักษาสัญญาของโครงการประกันสังคม โดยเสริมสร้างระบบนี้ให้ดีขึ้น ไม่ใช่การยกมันให้กับวอลล์สตรีท * (เสียงปรบมือ)
(* พรรครีพับลิกันเคยเสนอให้ยกเลิกระบบประกันสังคม และเปลี่ยนเป็นการลงทุนในตลาดหุ้น)

ภาพจาก Flickr Barack Obama
นี่คือทางเลือกที่เรามี นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องออกไปลงคะแนนเลือกตั้ง เราได้ยินคู่แข่งของเราพูดอยู่เสมอว่าการลดภาษีครั้งใหญ่และการผ่อนปรนกฎ ระเบียบภาคธุรกิจเป็นทางออกทางเดียวของประเทศ เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถทำงานทุกอย่างได้ คู่แข่งของเราจึงบอกว่ารัฐบาลไม่ควรทำอะไรสักอย่าง ถ้าคุณไม่มีเงินจ่ายค่าประกันสุขภาพ คุณก็ได้แต่หวังว่าตัวเองจะไม่ป่วย แต่ถ้าบริษัทแห่งใดปล่อยมลพิษสู่อากาศ แล้วลูกๆ ของคุณต้องสูดดมเข้าไปล่ะ จะทำอย่างไรดี ถ้าคุณไม่มีเงินลงทุนตั้งตัวสร้างธุรกิจหรือเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คู่แข่งของผมแนะนำให้คุณขอยืมเงินจากพ่อแม่ (เสียงหัวเราะและปรบมือ)
คุณรู้ว่าพวกเราไม่เป็นแบบนั้น นั่นไม่ใช่แนวทางของประเทศเรา ในฐานะคนอเมริกัน เราได้รับหลักประกันจากบิดาผู้สร้างชาติว่าเรามีสิทธิของตัวเอง สิทธิที่รัฐบาลหรือใครก็ตามไม่สามารถพรากไปจากเราได้ เรามีความรับผิดชอบของตัวเอง และเราเคารพความอุตสาหะของคนอื่น เราไม่ได้มีความสำเร็จมาแต่กำเนิดแต่เราต้องไขว่คว้าหามันมากเอง เรายกย่องคนที่ดิ้นรนต่อสู้ คนที่เต็มไปด้วยความฝัน คนที่กล้าเสี่ยง ผู้ประกอบการคือกำลังหลักที่ช่วยขับดันระบบเศรษฐกิจเสรีของเรา เครื่องจักรอันยิ่งใหญ่แห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจเท่าที่โลกเคยเห็นมา
แต่เราก็เชื่อในสิ่งที่เรียกว่า “ประชาชน” (citizenship) คำนี้อยู่ในหัวใจของผู้สร้างประเทศ เป็นคำสำคัญของระบบประชาธิปไตยของเรา แนวคิดที่ช่วยให้ประเทศนี้เดินหน้าต่อไปได้จากรุ่นสู่รุ่น
เราเชื่อว่าถ้าซีอีโอของบริษัทรถยนต์จ่ายค่าแรงให้คนงานตัวเองมากขึ้น จนสามารถซื้อรถที่บริษัทของตัวเองผลิตได้ บริษัทนี้จะประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม (เสียงปรบมือ)
เราเชื่อว่าเมื่อครอบครัวชาวอเมริกันไม่ถูกหลอกให้นำบ้านไปจำนองอีก ครอบครัวเหล่านี้จะปลอดภัย และรักษาคุณค่าของบ้านที่อยู่อาศัยของคนอื่นเอาไว้ได้ เฉกเช่นเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศนี้ * (เสียงปรบมือ)
(* หมายถึงวิกฤตซับไพร์มที่เกิดขึ้นในปี 2008 จนชาวอเมริกันจำนวนมากเสียบ้านไปเพราะระบบการเงินล่มสลาย)
เราเชื่อว่าเด็กผู้หญิงสักคนที่เอาชนะความยากจนโดยความช่วยเหลือจากครู หรือกองทุนเพื่อการศึกษา จะกลายเป็นสตีฟ จ็อบส์ คนใหม่ในอนาคต หรือกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่หาวิธีรักษาโรคมะเร็ง หรืออาจไปไกลถึงประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำ (เสียงปรบมือ) และเราก็มีอำนาจที่จะช่วยเหลือให้เด็กผู้หญิงคนนั้นได้รับโอกาสนั้น (เสียงปรบมือ)
เรารู้ว่าโบสถ์และสมาคมการกุศลต่างๆ สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ดีกว่าโครงการของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว เราไม่ต้องการช่วยเหลือกลุ่มคนที่ไม่พยายามช่วยแก้ปัญหาของตัวเอง และเราจะไม่อุ้มธนาคารที่ทำผิดกฎจนล้มละลาย (เสียงปรบมือ)
เราไม่คิดว่ารัฐบาลสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่เราก็ไม่คิดว่ารัฐบาลเป็นสาเหตุของปัญหาทั้งหมดเช่นกัน (เสียงปรบมือ) ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้รับสวัสดิการ บริษัท สหภาพแรงงาน ผู้อพยพ กลุ่มเกย์ เราถูกโจมตีเสมอว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาของคนเหล่านี้ แต่เราเข้าใจว่านี่คืออเมริกา นี่คือประชาธิปไตย
พวกเราชาวอเมริกันรู้ว่าเรามีความรับผิดชอบและสิทธิควบคู่กันไป นี่คือชะตาชีวิตของเราที่ต้องเดินหน้าไปด้วยกัน นี่คือเสรีภาพ แต่เสรีภาพที่ไม่เคารพผู้อื่น เสีรภาพที่ไม่มีความรัก ไม่มีความเมตตา ไม่มีหน้าที่ ไม่รักชาติ ย่อมไม่ใช่เสรีภาพที่คู่ควรกับคุณค่าของประเทศ และคู่ควรกับผู้ที่เสียสละเพื่อปกป้องประเทศของเรา (เสียงปรบมือ)
ในฐานะประชาชน เราต้องไม่ถามว่าอเมริกาให้อะไรกับเรา แต่ต้องถามว่าเราทำอะไรให้กับอเมริกาด้วยกัน (เสียงปรบมือ) ถึงแม้จะยากลำบากและเหน็ดเหนื่อย แต่การแสดงออกเพื่อประเทศเป็นเรื่องที่ได้ผลเสมอ นี่คือสิ่งที่เราเชื่อ
คุณคงทราบดีว่า การเลือกตั้งเมื่อสี่ปีก่อนไม่ใช่เรื่องของผม แต่เป็นเรื่องของคุณ (เสียงปรบมือ) ประชาชนที่รัก พวกคุณนั่นแหละคือการเปลี่ยนแปลง (เสียงปรบมือ)
พวกคุณคือคนที่ช่วยให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ในฟีนิกซ์ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ เหตุเพราะบริษัทประกันไม่สามารถจำกัดวงเงินประกันได้อีกต่อไป พวกคุณเป็นคนทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น (เสียงปรบมือ)
พวกคุณคือคนที่ช่วยให้ชายหนุ่มในโคโลราโดได้เรียนแพทย์ ทั้งที่ชีวิตของเขาไม่นึกฝันว่าจะเป็นจริง พวกคุณเป็นคนทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น (เสียงปรบมือ)
พวกคุณคือคนที่ช่วยให้เด็กน้อยผู้อพยพโตขึ้นมาในสหรัฐ เข้าเรียนในโรงเรียน และปฏิญาณตนว่าจะปกป้องอเมริกา ไม่ถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศถิ่นกำเนิด (เสียงปรบมือ) ทำไมทหารที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอื่นๆ นับพันถึงได้อยู่ในกองทัพของเรา เพราะว่าเขารักประเทศของเรา ยินดีต้อนรับสู่บ้านใหม่ (เสียงปรบมือ) พวกคุณเป็นคนทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น พวกคุณนั่นแหละ
ถ้าคุณหันหลังกลับไปมองอดีตเมื่อสี่ปีก่อน ถ้าคุณเชื่อคำพูดโจมตีว่าการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงของเราไม่มีวันเป็นไป ได้ ทุกวันนี้เราคงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ว่า ถ้าคุณยอมแพ้และเลิกคิดว่าคะแนนเสียงของคุณเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ มันจะกลายเป็นช่องว่างให้กับเหล่าล็อบบี้ยิสต์ กลุ่มผลประโยชน์ คนที่ยินดีจ่ายเงิน 10 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อการเลือกตั้ง และพยายามปิดกั้นไม่ให้คุณไปลงคะแนนได้ง่าย คนกลุ่มนี้คือนักการเมืองในวอชิงตันที่พยายามกำหนดชะตาชีวิตว่าคุณควรแต่ง งานกับใคร คุณมีโอกาสเลือกประกันสุขภาพได้กี่แบบ ทั้งที่เรื่องพวกนี้เราควรมีสิทธิเลือกเอง (เสียงปรบมือ) พวกคุณคือคนที่ช่วยให้สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นกับอเมริกาได้ พวกคุณเท่านั้นที่มีพลังพาประเทศของเราไปข้างหน้า
รู้ไหมครับว่า ผมจำเวลาที่พูดต่อที่ประชุมแห่งนี้เป็นครั้งแรกได้ เวลาผ่านมาแล้วสี่ปี เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ผมไม่ใช่ผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้ว แต่ผมเป็นประธานาธิบดี
(ผู้ชม: อีกสี่ปี อีกสี่ปี)
และนั่นแปลว่าผมรู้ว่าการส่งคนหนุ่มสาวอเมริกันไปร่วมรบเป็นอย่างไร ผมเคยโอบกอดพ่อแม่ที่ลูกไม่มีวันได้กลับบ้าน ผมเข้าใจความเจ็บปวดของคนที่สูญเสียบ้านไปกับเศรษฐกิจ และความอัดอั้นของคนงานที่ต้องตกงาน ถ้าคนที่วิจารณ์ผมบอกว่าผมตัดสินใจต่อนโยบายทุกข้อด้วยเสียงโหวตจากโพล ก็แปลว่าผมคงสอบตกอ่านผลโพลไม่ค่อยออกแล้วล่ะ (เสียงหัวเราะ)
ผมภูมิใจที่เราฝ่าฝันแก้ปัญหามาด้วยกัน ผมเข้าใจความผิดพลาดของตัวเองมากขึ้น ผมเริ่มเข้าใจที่ประธานาธิบดีลิงคอล์นเคยพูดไว้ว่า “ผมถึงกับต้องสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า เพราะผมเชื่อว่าไม่มีทางออกอื่นแล้ว” *
(* ประธานาธิบดีลิงคอล์น ไม่เคร่งศาสนามากนัก เขาพูดคำพูดนี้เมื่อฝ่ายเหนือของสหรัฐแพ้ศึกสงครามกลางเมืองครั้งหนึ่ง ให้ความหมายว่าสถานการณ์เลวร้ายขนาดคนอย่างเขายังต้องหันหน้าไปพึ่งพระเจ้า ต้นฉบับคือ “I have been driven to my knees many times by the overwhelming conviction that I had no place else to go.” โอบามาหมายความว่าภาระการเป็นประธานาธิบดีนั้นหนักหน่วงมาก)
แต่เมื่อผมมายืนอยู่ตรงนี้ ผมมีความหวังต่ออเมริกามากแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน (เสียงปรบมือ) ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าผมมีทางออกสำหรับทุกปัญหา ไม่ใช่เพราะผมไร้เดียงสาไม่รู้ว่าปัญหาของเรายิ่งใหญ่แค่ไหน
แต่ผมมีความหวังเพราะผมรู้ว่ามีพวกคุณอยู่
ผมพบผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อครั้งไปเดินงานนิทรรศการวิทยาศาสตร์ งานวิจัยด้านชีววิทยาของเธอชนะรางวัลระดับชาติ แต่ตัวเธอและครอบครัวกลับไม่มีบ้านอยู่อาศัย เธอให้ความหวังกับผม (เสียงปรบมือ)
คนงานผลิตรถยนต์คนหนึ่งตกงานเพราะโรงงานใกล้ปิดตัว เขาถูกล็อตเตอรี่ แต่กลับยังมาทำงานทุกวัน และซื้อธงชาติอเมริกาแจกคนทั้งเมือง แถมยังปักธงอเมริกาไว้บนรถที่เขาสร้างขึ้นเพื่อภรรยาโดยเฉพาะ เขามอบความหวังให้ผม (เสียงปรบมือ)
ครอบครัวนักธุรกิจแห่งหนึ่งในเมือง Warroad รัฐมินเนสโซต้า ไม่ได้ปลดพนักงาน 4,000 คนออกแม้สักคนเดียวเมื่อเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าคู่แข่งของพวกเขาจะปิดโรงงานไปเป็นสิบ เหตุเพราะว่าเจ้าของรู้ว่าทรัพย์สินที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาคือชุมชน และคนงานที่ช่วยสร้างธุรกิจมาด้วยกัน พวกเขามอบความหวังให้ผม (เสียงปรบมือ)
ผมเจอทหารเรือหนุ่มคนหนึ่งที่โรงพยาบาล Walter Reed เขานอนพักรักษาตัวจากระเบิดที่ทำให้เขาเสียขาตั้งแต่เข่าลงไป หกเดือนต่อมาเราเชิญเขาเดินเข้ามารับประทานอาหารค่ำในทำเนียบขาว ร่วมกับทหารที่ผ่านสมรภูมิอิรัก เขาอ้วนขึ้น สวมชุดทหารสง่างาม ยืนอยู่บนขาใหม่ของตัวเอง ผมจำได้ว่าทหารเรือคนนี้ยังแข่งจักรยานกับทหารที่บาดเจ็บคนอื่นๆ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนทหารที่เพิ่งประสบเหตุต่อตัวเอง เขามอบความหวังให้ผม (เสียงปรบมือ) เขามอบความหวังให้ผม
ผมไม่รู้ว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้เลือกพรรคไหน ผมไม่รู้หรอกครับว่าเขาลงคะแนนให้ผมหรือเปล่า แต่ผมรู้ว่าจิตวิญญาณของพวกเขาสร้างตัวตนของเราขึ้นมา พวกเขาทำให้ผมระลึกถึงคำในพระคัมภีร์ว่า อนาคตของเราเต็มไปด้วยความหวัง ถ้าคุณศรัทธาในสิ่งเดียวกับผม ถ้าคุณเชื่อในความหวังอันเดียวกัน ผมขอให้พวกคุณลงคะแนนให้ผม
(เสียงปรบมือ)
ถ้าคุณปฏิเสธความคิดที่สงวนประเทศชาติให้คนเพียงกลุ่มเล็กๆ คะแนนโหวตของคุณจะแสดงออกในการเลือกตั้งครั้งนี้ (เสียงปรบมือ)
ถ้าคุณปฎิเสธความคิดว่ารัฐบาลของเราเป็นของคนที่จ่ายเงินให้มากที่สุดตลอดไป คุณต้องแสดงออกผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ (เสียงปรบมือ)
ถ้าคุณเชื่อว่าโรงงานใหม่ๆ จะช่วยสร้างประเทศ แผนพลังงานชนิดใหม่ๆ จะเป็นแรงขับเคลื่อนอนาคต โรงเรียนจะเป็นบันไดสู่โอกาสของคนที่มีความฝัน ถ้าคุณเชื่อในประเทศที่ทุกคนเท่าเทียมกัน อยู่ภายใต้กฎอันเดียวกัน ผมขอให้คุณโหวตให้ผมในเดือนพฤศจิกายนนี้ (เสียงปรบมือ)
ผมไม่เคยบอกอเมริกาว่าการเดินทางครั้งนี้ง่าย และผมก็ไม่สัญญาอะไรแบบนั้นในอนาคต เส้นทางของเรายากลำบาก แต่มันจะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางของเราอาจยาวนาน แต่เราจะเดินทางไปด้วยกัน
เราจะไม่หันหลังย้อนกลับ แต่เราก็ไม่ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลัง เราจะพาทุกคนไปด้วยกัน เราดึงพลังมาจากชัยชนะและเรียนรู้จากความล้มเหลว แต่ถ้าหากเรายังมองเป้าหมายที่ปลายขอบฟ้า รู้ว่าโชคชะตายืนอยู่ข้างเรา เราย่อมภูมิใจที่เป็นประชาชนของชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก


บารัค โอบามา ผู้นำเดโมแครต การขับเคลื่อนสหรัฐอเมริกาสมัย 2

เลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่ว่าใครเป็นผู้นำ พญาอินทรีย์ตัวนี้ก็ยังคงมีท่าบินเหมือนเดิม..ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ สรุปแล้วว่าบารัค โอบามาจะยังคงครองตำแหน่งผู้นำประเทศได้อีกเป็นสมัยที่ 2 แต่การชิงชัยเก้าอี้ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือน ครั้งแรกนัก เพราะคะแนนโหวตที่ให้กับมิตต์ รอมนีย์หลั่งไหลเข้ามาอย่างท่วมท้น เล่นเอาทั้งผู้นำเดโมแครตและแฟนคลับโอบามาต้องลุ้นคะแนนโหวตแบบหืดขึ้นคอ ขณะที่มิตต์ รอมนีย์เอง ดูฟอร์มแล้วไม่น่าจะมาไกลถึงขนาดที่มีคะแนนสูสีขนาดนี้ แต่วันนี้ เราต้องยอมรับว่า เขาทำได้แล้ว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะนโยบายเศรษฐกิจที่มีความเป็นรูปธรรม และตอบโจทย์ชาวอเมริกันมากกว่า!

เลือกตั้งสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามา ภาพจาก Barack Obama
เป็นไปได้ว่าคะแนนที่หดหายของโอบามาในสมัยแรก และการเบียดขับ เข่นเคี่ยวกันจนคะแนนโหวตของรอมนีย์ที่ขึ้นมาได้ขนาดนี้ สืบเนื่องจากการจ่อมจมอยู่กับปัญหาการเมืองระหว่างประเทศและปัญหาความมั่นคง ที่รุกไล่ทีมของผู้นำบารัค โอบามาเสมือนหนึ่งเล่นเกมงูกินหาง ไหนจะต้องตามล่าสังหารอุซมาห์ บินลาเดน ตัวการสำคัญที่เป็นผู้ท้าทายอำนาจสหรัฐฯ ตัวฉกาจ และเป็นสิ่งที่เขาให้คำมั่นไว้ในสมัยแรก
ตลอดจนการไล่ต้อนกลุ่มผู้นำในประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนืออย่างไม่หยุดยั้ง เพราะกระแสอาหรับสปริงที่ทำให้เขาเชื่อว่ามวลชนในโลกอาหรับต้อนรับกระแส ประชาธิปไตยอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ไหนเลยประเทศต้นแบบแห่งประชาธิปไตยจะอยู่เฉย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ ผู้เป็นเสมือนตำรวจโลกมาเนิ่นนาน จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง คือการรับมือกับจีน สหรัฐฯ จะยังคงเดินเกมปิดล้อมจีนต่อไป โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ที่แม้รอมนีย์จะประกาศกร้าวเสมือนว่าจีนเป็นศัตรู แต่โอบามาเห็นว่าจีนคือคู่แข่ง และเป็นคู่แข่งที่สำคัญจนต้องใช้การทูตผูกมิตรชาติในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผูกสัมพันธ์กับประเทศที่เห็นจีนเป็นศัตรู และการแสดงความพร้อมที่จะช่วยเหลือชาติในเอเชียที่มีความขัดแย้งระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการเห็นด้วยกับท่าทีของญี่ปุ่น กรณีความขัดแย้งหมู่เกาะเตี้ยวหยูวหรือหมู่เกาะเซนกากุ หรือกรณีหมู่เกาะทาเคชิม่าหรือหมู่เกาะต็อกโตที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้บาดหมาง กัน
รวมถึงอีกกรณีที่มีนัยสำคัญต่อจุดยืนและท่าทีของอาเซียน คงเป็นประเด็นใดไม่ได้ถ้าไม่ใช่กรณีของหมู่เกาะทะเลจีนใต้ ที่สหรัฐฯ โดดเข้ามาสนับสนุนทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ ฯลฯ อย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะด้วยการกล่าวถ้อยแถลงที่สนับสนุนการทูตพหุภาคีในอาเซียนเพื่อแก้ไข ปัญหา หรือการแสดงท่าทีแข็งขืน ไม่เห็นด้วยกับจีนที่จะดีลปัญหาด้วยการทูตทวิภาคีแบบรัฐต่อรัฐ

เดโมแครต เลือกตั้งสหรัฐ บารัค โอบามา ภาพจาก Democrats
ประเด็นเหล่านี้ล้วนเป็นท่าทีของสหรัฐฯ ที่มีต่อปัจจจัยภายนอกประเทศ แต่ช่วยรักษาภาพลักษณ์อันทรงอำนาจของสหรัฐอเมริกาที่ยากจะมีใครลูบคม แต่ปัจจัยภายในที่โอบามาเฝ้าจ่อมจมอยู่กับการแก้ไขปัญหา คงหนีไม่พ้นเรื่องประกันสุขภาพและการรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นกลางที่เป็น ฐานเสียงหลัก มากกว่าจะมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
การพยายามแก้ปัญหาด้านนี้อย่างเห็นได้ชัดจากโอบามาฯ น่าจะเป็นเรื่องผูกมิตรกับต่างประเทศและกดดันให้ซื้อสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ ตลอดจนการดำเนินนโยบายอุ้มกลุ่มทุน อุตสาหกรรมรถยนต์ ธนาคาร เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐให้ดำเนินต่อไป แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดปรากฎการณ์ยึดครองวอลล์สตรีท หรือ Occupy Wall Street ด้วย และแน่นอนว่าโวหารของเขายังคงครองใจประชาชนเช่นเดิม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมา ทำให้เห็นว่าเขายังพูดมากกว่าทำในด้านเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เศรษฐกิจที่ติดหล่มปลักของสหรัฐฯ กำลังค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ โดยภาพรวมของประเทศเอง ที่ค่อยๆ เป็นไป มากกว่าจะขับเคลื่อนหรือแก้ปัญหาได้ด้วยผู้นำประเทศ แน่นอนว่า หากสมัยหน้าเขาจะยังต้องการให้เก้าอี้ผู้นำประเทศเป็นของเดโมแครตอยู่ ทีมรัฐบาลจะต้องทุ่มเททุกสรรพกำลังเพื่อเร่งฟื้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ มากกว่าการหมกมุ่นกับการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงอย่างที่เคยเป็นมา


วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การปกครองของไทย

        การเมืองการปกครองของไทย 


การเมืองการปกครองสมัยสุโขทัย
      ลักษณะการปกครอง แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
           1. แบบพ่อปกครองลูก ช่วงต้นสมัยสุโขทัย เรียกผู้นำว่า "พ่อขุน" ปกครองประชาชนด้วยความห่วงใยและมีเมตตา ต่อประชาชน
              เปรียบเสมือนพ่อกับลูก ฐานะของกษัตริย์เป็นปิตุราชา
           2. แบบธรรมราชา ในช่วงสุโขทัยตอนปลายการปกครองใช้ธรรมะเนื่องจากได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนา กษัตริย์ ดำรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม               โดยประชาชนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และมีสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน เช่น เสรี ภาพในการประกอบอาชีพ

       การจัดระเบียบการปกครองสมัยสุโขทัย
            1. เมืองหลวง คือ สุโขทัยเป็นศูนย์กลางการปกครอง
            2. เมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่าน ตั้งอยู่รอบ ๆ เมืองหลวง มี 4 ทิศ โดยมีเชื้อพระวงศ์เป็นผู้ปกครอง มีหน้าที่ สะสมเสบียงอาหาร                และป้องกันข้าศึกศัตรู เมืองหน้าด่านทั้ง 4 ได้แก่
                      - ทิศเหนือ คือ ศรีสัชนาลัย
                      - ทิศใต้ คือ สระหลวง (พิจิตร)
                      - ทิศตะวันออก คือ สองแคว (พิษณุโลก)
                       - ทิศตะวันตก คือ ชากังราว (กำแพงเพชร)
            3. เมืองพระยามหานคร หรือเมืองชั้นนอก เป็นหัวเมืองชั้นนอก มีเจ้าเมืองหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ปกครอง
            4. เมืองประเทศราช เมืองที่อยู่นอกราชอาณาจักรโดยยอมสวามิภักดิ์ต่อสุโขทัย โดยการส่งเครื่องราชบรรณาการให้ และมีเจ้าเมืองเดิมปกครอง



การเมืองการปกครองสมัยอยุธยา
       ลักษณะการปกครอง แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
            1. แบบธรรมราชา กษัตริย์ปฏิบัติตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา
            2. แบบเทวราชา กษัตริย์เป็นสมมติเทพ รับอิทธิพลมาจากขอม

       การจัดระเบียบการปกครองสมัยอยุธยา
          **สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ได้นำรูปแบบการปกครองของสุโขทัยและเขมรมาปรับใช้ โดยแบ่งเป็น
                     - ราชธานี
                     - หัวเมืองชั้นใน
                     - เมืองลูกหลวง
                     - หัวเมืองชั้นนอก
                     - เมืองประเทศราช
                 ต่อมาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถทรงปรับปรุงการปกครองเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับราชธานี                  จึงจัดระเบียบการปกครองใหม่เพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยแบ่งเป็น
                     - ราชธานี
                     - หัวเมืองชั้นใน ผู้ปกครองเรียกว่า "ผู้รั้ง"
                     - หัวเมืองชั้นนอก แบ่งเป็นเอก โท ตรี โดยแบ่งภายในเมืองเป็นการปกครองท้องถิ่น ได้แก่ เมือง(จังหวัด) , แขวง(อำเภอ) , ตำบล , บ้าน

        การปกครองราชธานี
            **การปกครองสมัยพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงแบ่งการปกครองเป็น 4 ส่วน เรียกว่า จตุสดมภ์ ได้แก่
                     - กรมเมือง ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในราชธานี
                     - กรมวัง ดูแลเกี่ยวกับกิจการต่าง ๆ ในราชสำนัก และพระราชพิธีต่าง ๆ
                     - กรมคลัง ดูแลเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้รายจ่ายของพระคลัง
                     - กรมนา ดูแลเกี่ยวกับนาหลวง การเก็บภาษี และการจัดเก็บข้าวเข้าท้องพระคลัง
                 การปกครองประเทศจะรวมทหารและพลเรือนเข้าด้วยกันโดยแบ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือ และฝ่ายใต้
            **การปกครองสมัยพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปใหม่เป็น
                     - กรมเมือง เปลี่ยนเป็น นครบาล
                     - กรมวัง เปลี่ยนเป็น ธรรมาธิกรณ์
                     - กรมคลัง เปลี่ยนเป็น โกษาธิบดี
                     - กรมนา เปลี่ยนเป็น เกษตราธิบดี
                  สมัยพระบรมไตรโลกนาถทรงแยกฝ่ายทหารและพลเรือนออกจากกัน โดยตั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ
                     - สมุหกลาโหม ดูแลเกี่ยวกับการทหาร
                     - สมุหนายก ดูแลเกี่ยวกับข้าราชการพลเรือน
                  และยังได้กำหนดกฎหมายขึ้น คือ
                    - กฎหมายศักดินาทหารและพลเรือน
                    - กฎมนเทียรบาล เป็นกฎหมายเกี่ยวกับประเพณีใน ราชสำนัก


การปกครองสมัยกรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์
        ลักษณะการปกครองคล้ายกับสมัยอยุธยา มีการควบคุมไพร่เข้มงวดขึ้น โดยมีการสักข้อมือไพร่ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อได้รับอิทธิพลของชาวตะวันตกเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยศึกษาความรู้ต่าง ๆ จากชาติตะวันตกจนกระทั่ง ถึงรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ ๆ ดังนี้
              1. ให้สิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนา
              2. อนุญาตให้เข้าเฝ้าในเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
              3. ออกกฎหมายประกาศรับฎีกาของประชาชนในทุกวันโกน
              4. ให้สิทธิสตรีมีโอกาสทางด้านการศึกษา และการสมรส
              5. ให้เสรีภาพในการประกอบอาชีพของประชาชน
        การพัฒนาประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5
              1. การเลิกทาสและไพร่
              2. การปฏิรูปทางการศึกษา
              3. มีการจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อจัดเก็บภาษีอากร
              4. จัดทำงบประมาณรายได้และรายจ่ายของแผ่นดิน
              5. การสร้างทางรถไฟเพื่อการขนส่ง
              6. ปฏิรูปการปกครองแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ
              7. จัดตั้งกระทรวงยุติธรรม
              8. ออกพระราชบัญญัติการเลือกตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้าน
              9. ตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมืองต่าง ๆ
        การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5
              1. ทรงจัดตั้งสภาที่ปรึกษากษัตริย์ 2 สภา คือ รัฐมนตรีสภา และองคมนตรีสภา
              2. ทรงจัดระเบียบการบริหารราชการในราชธานีใหม่โดยยกเลิกจตุสดมถ์ สมุหนายก และสมุหกลาโหม
                 และจัดตั้งหน่วยงานเป็นกระทรวง 12 กระทรวง แต่ละกระทรวงมีเสนาบดีเป็นผู้รับผิดชอบ ได้แก่
                       1. กระทรวงมหาดไทย ดูแลเกี่ยวกับการปกครองหัวเมือง
                       2. กระทรวงกลาโหม ดูแลเกี่ยวกิจการทหารและหัวเมืองฝ่ายใต้
                       3. กระทรวงยุทธนาธิการ ดูแลเกี่ยวกับเรื่องการต่างประเทศ
                      4. กระทรวงวัง ดูแลเกี่ยวกับพระราชวัง
                       5. กระทรวงนครบาล ดูแลเกี่ยวกับกิจการตำรวจและราชทัณฑ์
                       6. กระทรวงเกษตราธิราช ดูแลเกี่ยวกับการเพาะปลูก ค้าขาย ป่าไม้ เหมืองแร่
                       7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ดูแลเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร งบประมาณแผ่นดิน การคลัง
                       8. กระทรวงยุติธรรม ดูแลเกี่ยวกับการศาล ชำระความทั้งแพ่งและอาญา
                       9. กระทรวงยุทธนาธิการ ดูแลจัดการเกี่ยวกับการทหาร
                      10. กระทรวงโยธาธิการ ดูแลเกี่ยวกับการก่อสร้าง ขุดคลอง ไปรษณีย์ โทรเลข รถไฟ
                      11. กระทรวงธรรมการ ดูแลเกี่ยวการศึกษาและศาสนา
                      12. กระทรวงมุรธาธิการ ดูแลเกี่ยวกับพระราชสัญจกร พระราชกำหนดกฎหมาย หนังสือราชการ
         การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค
                - มณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผผู้ปกครอง
                - ในแต่ละมณฑลประกอบด้วย เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ตามลำดับ โดยประชาชนเลือกตั้งกำนัน และผู้ใหญ่ บ้านเอง
         การปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองท้องถิ่นตนเอง
                - ตั้งสุขาภิบาลแห่งแรก คือ สุขาภิบาลกรุงเทพฯ
                - ตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรก คือ ตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรปราการ

         การปรับปรุงระเบียบบริหารในสมัยรัชกาลที่ 6
               1. ทรงยกโรงเรียนราชการพลเรือนเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
               2. ประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษา
               3. ตั้งดุสิตธานี นครจำลองเพื่อการปกครองแบบประชาธิปไตย
               4. ให้เสรีภาพหนังสือพิมพ์วิจารณ์รัฐบาล
               5. เปลี่ยนการเรียกชื่อเมืองเป็นจังหวัด

         การเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7
               การปกครองของไทยสมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 7 เป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และภายหลังจาก เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ 7 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เป็นสาเหตุให้ เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย โดย คณะราษฎร์ นำโดยพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหัวหน้าฝ่ายทหาร และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม(นาย ปรีดี พนมยงค์) เป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน

              หลักการสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
                     1. อำนาจอธิปไตย เป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
                     2. รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
                     3. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงใช้อำนาจอธิปไตยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ คือ
                              - ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา หรือสภาผู้แทนราษฎร
                              - ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี
                              - ทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล
              หลักการปกครองของคณะราษฎร
                     1. รักษาความเป็นเอกราช
                     2. รักษาความปลอดภัยของประเทศ
                     3. พัฒนาเศรษฐกิจให้ราษฎรกินดีอยู่ดี
                     4. ให้ประชาชนมีความเสมอภาค เท่าเทียมกัน
                     5. ให้ประชาชนมีเสรีภาพ
                     6. ให้ประชาชนมีการศึกษา
              การเมืองการปกครองของไทยยังขาดเสถียรภาพ มีสาเหตุเนื่องมาจาก
                     1. มีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญบ่อย ทำให้การพัฒนาไม่ต่อเนื่อง
                     2. มีการเปลี่ยนโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาบ่อยครั้ง
                     3. มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้ง
                     4. เกิดปัญหาพรรคการเมืองไทย เช่น พรรคการเมืองมากเกินไป ขาดอุดมการณ์ ขาดระเบียบวินัย เป็นต้น

ASEAN

ASEAN

กำเนิดอาเซียน
       อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations หรือ ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ซึ่งได้มีการลงนามที่วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสมาชิกก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ซึ่งผู้แทนทั้ง 5 ประเทศ ประกอบด้วยนายอาดัม มาลิก (รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย) ตุน อับดุล ราชัก บิน ฮุสเซน (รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติมาเลเซีย) นายนาซิโซ รามอส (รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์) นายเอส ราชารัตนัม (รัฐมนตรีต่างประเทศสิงค์โปร์) และพันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ (รัฐมนตรีต่างประเทศไทย)
      ในเวลาต่อมาได้มีประเทศต่างๆ เข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม (เป็นสมาชิกเมื่อ 8 ม.ค.2527) เวียดนาม (วันที่ 28 ก.ค. 2538) สปป.ลาว พม่า (วันที่ 23 ก.ค. 2540) และ กัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกล่าสุด (วันที่ 30 เม.ย. 2542) ให้ปัจจุบันมีสมาชิกอาเซียนทั้งหมด 10 ประเทศ
      วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งอาเซียน คือ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพเสถียรภาพ และความมั่นคงทางการเมือง สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมการกินดีอยู่ดีของประชาชนบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก
สัญลักษณ์ของอาเซียน คือ รูปรวงข้าว สีเหลืองบนพื้นสีแดงล้อมรอบด้วยวงกลม สีขาวและสีน้ำเงิน
รวงข้าว 10 ต้น หมายถึง ประเทศสมาชิก 10 ประเทศ
สีเหลือง  หมายถึง  ความเจริญรุ่งเรือง 
สีแดง  หมายถึง  ความกล้าหาญและการมีพลวัติ
สีขาว  หมายถึง  ความบริสุทธิ์ 
สีน้ำเงิน  หมายถึง  สันติภาพและความมั่นคง
กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter)
         ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 13 เมื่อปี 2550 ที่ประเทศสิงค์โปร์ ผู้นำอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตร  อาเซียนซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญของอาเซียนที่จะวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียน ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558 (ค.ศ. 2015) ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้ โดยวัตถุประสงค์ของกฎบัตรอาเซียน คือ ทำให้อาเซียนเป็นองค์การที่มีประสิทธิภาพ มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเคารพกฎกติกาในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ กฎบัตรจะให้สถานะนิติบุคคลแก่อาเซียนเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Organization)
กฎบัตรอาเซียน ประกอบด้วยข้อบทต่าง ๆ 13 บท 55 ข้อ มีประเด็นใหม่ที่แสดงความก้าวหน้าของอาเซียน ได้แก่
     (1) การจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนของอาเซียน     (2) การให้อำนาจเลขาธิการอาเซียนสอดส่องและรายงานการทำตามความตกลงของรัฐสมาชิก     (3) การจัดตั้งกลไกสำหรับการระงับข้อพิพาทต่าง ๆ ระหว่างประเทศสมาชิก     (4) การให้ผู้นำเป็น ผู้ตัดสินว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อรัฐผู้ละเมิดพันธกรณีตามกฎบัตรฯ อย่างร้ายแรง     (5) การเปิดช่องให้ใช้วิธีการอื่นในการตัดสินใจได้หากไม่มีฉันทามติ     (6) การส่งเสริมการปรึกษาหารือกันระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อผลประโยชน์ร่วม     (7) การเพิ่มบทบาทของประธานอาเซียนเพื่อให้อาเซียนสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที     (8) การเปิดช่องทางให้อาเซียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับองค์กรภาคประชาสังคมมากขึ้น และ     (9) การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ให้มีการประชุมสุดยอดอาเซียน 2 ครั้งต่อปี จัดตั้งคณะมนตรีเพื่อประสานความร่วมมือในแต่ละ 3 เสาหลัก และการมีคณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียน ที่กรุงจาการ์ตา เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการประชุมของอาเซียน เป็นต้น
    กฎบัตรอาเซียนมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 หลังจากที่ประเทศสมาชิกครบทั้ง 10 ประเทศ ได้ให้สัตยาบันกฎบัตร และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2552 ที่จังหวัดเพชรบุรีเป็นการประชุมระดับผู้นำอาเซียนครั้งแรกหลังจากกฎบัตรมีผลบังคับใช้
 ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community)
            ประชาคมอาเซียนประกอบด้วยความร่วมมือ 3 เสาหลัก คือ 
        ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community–APSC)
        ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community–AEC)

         ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN Socio-Cultural Community–ASCC)
1. ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน

(ASEAN Political and Security Community – APSC)

           มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค เพื่อให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และสามารถแก้ไขปัญหาและความขัดแย้ง โดยสันติวิธี อาเซียนจึงได้จัดทำแผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint) โดยเน้นใน 3 ประการ คือ
          1) การมีกฎเกณฑ์และค่านิยมร่วมกัน ครอบคลุมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะร่วมกันทำเพื่อสร้างความเข้าใจในระบบสังคมวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่แตกต่างของประเทศสมาชิก ส่งเสริมพัฒนาการทางการเมืองไปในทิศทางเดียวกัน เช่น หลักการประชาธิปไตย การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม การต่อต้านการทจริต การส่งเสริมหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล เป็นต้น
          2) ส่งเสริมความสงบสุขและรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาความมั่นคงสำหรับประชาชนที่ครอบคลุมในทุกด้านครอบคลุมความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในรูปแบบเดิม มาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและการระงับข้อพิพาท โดยสันติเพื่อป้องกันสงครามและให้ประเทศสมาชิกอาเซียนอยู่ด้วยกัน โดยสงบสุขและไม่มีความหวาดระแวง และขยายความร่วมมือเพื่อต่อต้านภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและจัดการภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ
          3) การมีพลวัตและปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก เพื่อเสริมสร้างบทบาทของอาเซียนในความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น กรอบอาเซียน+3 กับจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ตลอดจนความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับมิตรประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ
2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(ASEAN Political-Security Community-AEC)
          มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้อาเซียนมีตลาดและฐานการผลิตเดียวกันและมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน  เงินทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี อาเซียนได้จัดทำแผนงาน การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Blueprint) ซึ่งเป็นแผนงานบูรณาการการดำเนินงานในด้านเศรษฐกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 4 ด้าน คือ
         1) การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base) โดยจะมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี และการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีมากขึ้น
         2) การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน โดยให้ความสำคัญกับประเด็นนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายภาษี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (การเงิน การขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ และพลังงาน)
         3) การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค ให้มีการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการเสริมสร้างขีดความสามารถผ่านโครงการต่าง ๆ
         4) การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เน้นการปรับประสานนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียนกับประเทศภายนอกภูมิภาคเพื่อให้อาเซียนมีท่าทีร่วมกันอย่างชัดเจน
3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 
(ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC)

          อาเซียนได้ตั้งเป้าเป็นประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี 2558 โดยมุ่งหวังเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีสังคมที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีการพัฒนาในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียน (ASEAN Identity)
เพื่อรองรับการเป็นประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซียน โดยได้จัดทำแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint)ซึ่งประกอบด้วยความร่วมมือใน 6 ด้าน ได้แก่
      1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
      2) การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม
      3) สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม
      4) ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
      5) การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน
      6) การลดช่องว่างทางการพัฒนา

     ทั้งนี้โดยมีกลไกการดำเนินงาน ได้แก่ การประชุมรายสาขาระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และระดับรัฐมนตรีและคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
สาระสำคัญของปฏิญญาชะอำ-หัวหิน ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือ
          ด้านการศึกษาเพื่อบรรลุประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบ่งปันปฏิญญาชะอำ-หัวหินว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาเพื่อบรรลุประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน  เน้นย้ำถึงบทบาทของการศึกษาในการสร้างประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558 อันประกอบด้วย 3 เสาหลัก ดังนี้
1. บทบาทของภาคการศึกษาในเสาการเมืองและความมั่นคง
          สนับสนุนความเข้าใจและความตระหนักรับรู้เรื่องกฎบัตรอาเซียนให้มากขึ้นโดยผ่านหลักสูตรอาเซียน ในโรงเรียนและเผยแพร่กฎบัตรอาเซียนที่แปลเป็นภาษาต่างๆ ของชาติ ในอาเซียนให้เน้นในหลักการแห่งประชาธิปไตยให้มากขึ้น เคารพในสิทธิมนุษยชนและค่านิยมในเรื่องแนวทางที่สันติภาพในหลักสูตรของโรงเรียนสนับสนุน ความเข้าใจและความตระหนักรับรู้ใน
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประเพณีและความเชื่อในภูมิภาคในหมู่อาจารย์ผ่านการฝึกอบรม โครงการแลกเปลี่ยน และการจัดตั้งข้อมูลพื้นฐานออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องนี้จัดให้มีการประชุมผู้นำโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอในฐานะที่เป็นพื้นฐานสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อ
คิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคอาเซียนที่หลากหลาย การสร้างศักยภาพและเครือข่าย รวมทั้งยอมรับการดำรงอยู่ของเวทีโรงเรียน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia School Principals’ Forum: SEA-SPF)
2. บทบาทของภาคการศึกษาในเสาเศรษฐกิจ

         พัฒนาพัฒนากรอบทักษะภายในประเทศของแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อช่วยสนับสนุนการมุ่งไปสู่การจัดทำการยอมรับทักษะในอาเซียนสนับสนุนการขับเคลื่อนของนักเรียนนักศึกษาให้ดีขึ้นโดยการพัฒนาบัญชีรายการระดับภูมิภาคของอุปกรณ์สารนิเทศด้านการศึกษาที่ประเทศสมาชิกอาเซียนจัดหาได้สนับสนุนการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือในภูมิภาคอาเซียน โดยผ่านกลไกความร่วมมือในระดับภูมิภาคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งจะต้องดำเนินควบคู่ไปกับความพยายามในการปกป้องและปรับปรุงมาตรฐานทางด้านการศึกษาและวิชาชีพพัฒนามาตรฐานด้านอาชีพบนพื้นฐานของความสามารถในภูมิภาคอาเซียนโดยมุ่งไปที่การสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก และเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมโดยประสานกับกระบวนการกรอบการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านแรงงาน
3. บทบาทของภาคการศึกษาในเสาสังคมและวัฒนธรรม

         พัฒนาเนื้อหาสาระร่วมในเรื่องอาเซียนสำหรับโรงเรียนเพื่อใช้เป็นตัวอ้างอิงสำหรับการฝึกอบรมและการสอนของครูอาจารย์เสนอให้มีหลักสูตรปริญญาด้านศิลปวัฒนธรรมอาเซียนในมหาวิทยาลัยเสนอให้มีภาษาประจำชาติอาเซียน ให้เป็นภาษาต่างประเทศวิชาเลือกในโรงเรียนสนับสนุนโครงการระดับภูมิภาคที่มุ่งเน้นที่การส่งเสริมการตระหนักรับรู้เกี่ยวกับอาเซียนให้แก่เยาวชนรับรองการมีอยู่ของโครงการอื่นๆ เช่น การนำเที่ยวโรงเรียนอาเซียน โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาอาเซียน การประชุมเยาวชนอาเซียนด้านวัฒนธรรม การประชุมสุดยอดเยาวชนนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอาเซียน การประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน และการประกวดสุนทรพจน์ระดับเยาวชน สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตในประเทศสมาชิกอาเซียนโดยการสนับสนุนการศึกษาสำหรับ
ทุกคนจัดให้มีการประชุมวิจัยทางด้านการศึกษาอาเซียนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการวิจัยและพัฒนาในภูมิภาคให้เป็นเวทีสำหรับนักวิจัยจากประเทศสมาชิกเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นและเรื่องที่เกี่ยวข้องของภูมิภาคสนับสนุนความเข้าใจและการตระหนักรับรู้ในประเด็นและเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียนโดยการบูรณาการให้อยู่ในหลักสูตรในโรงเรียน และการมอบรางวัล
โรงเรียนสีเขียวอาเซียนเฉลิมฉลองวันอาเซียน (วันที่ 8 สิงหาคม)ในโรงเรียนโดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การร้องเพลงชาติอาเซียน การจัดการแข่งขันเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอาเซียนการจัดแสดงเครื่องหมาย และสัญลักษณ์อื่นๆ ของอาเซียน การจัดค่ายเยาวชนอาเซียน เทศกาลเยาวชนอาเซียนและวันเด็กอาเซียนเห็นชอบที่จะเสนอในรัฐสมาชิกอาเซียน
แบ่งปันทรัพยากรแก่กัน และพิจารณาการจัดตั้งกองทุนพัฒนาด้านการศึกษาของภูมิภาคเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างเพียงพอในการปฏิบัติการต่าง ๆได้ตามที่ได้รับการเสนอแนะมามอบหมายให้ องค์กรระดับรัฐมนตรีรายสาขาของอาเซียนเกี่ยวข้องและเลขาธิการอาเซียนดำเนินการปฏิบัติตามปฏิญญานี้โดยการให้แนวทางและสนับสนุนแผน 5 ปีของอาเซียนว่าด้วยเรื่องการศึกษา
         รวมทั้งข้อตกลงในการควบคุมดูแลที่ได้รับการสนับสนุนโดยคณะกรรมการผู้แทนถาวรและรายงานต่อที่ประชุม สุดยอดอาเซียนเป็นประจำผ่านคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนทราบผลการคืบหน้าของการดำเนินการปฏิญาณว่าความมุ่งมั่นและข้อผูกพันของผู้นำอาเซียนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการศึกษาเพื่อให้เกิดประชาคมอาเซียนที่มีการเคลื่อนไหวประชาคมที่มีความเชื่อมโยงกันและประชาคมของประชาชนอาเซียนและเพื่อประชาชนอาเซียน
นโยบายกระทรวงศึกษาธิการในการดำเนินการด้านการศึกษาตามปฏิญญาชะอำ-หัวหิน ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาเพื่อบรรลุประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน
           จากการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขับเคลื่อนการศึกษาในอาเซียนสู่การบรรลุเป้าหมายการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในปี 2558 เมื่อวันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม 2553 ณ กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน และผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ผู้อำนวยการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนและผู้แทนกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบร่างนโยบายเพื่อดำเนินงานตามปฏิญญาชะอำ-หัวหินด้านการศึกษา จำนวน 5 นโยบาย ดังนี้
         นโยบายที่ 1 การเผยแพร่ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร และเจตคติที่ดีเกี่ยวกับอาเซียน เพื่อสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมของครูคณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558         นโยบายที่ 2  การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนให้มีทักษะที่เหมาะสมเพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวประชาคมอาเซียน เช่น ความรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะและความชำนาญการที่สอดคล้องกับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรม และการเพิ่มโอกาสในการหางานทำของประชาชน รวมทั้งการพิจารณาแผนผลิตกำลังคน         นโยบายที่ 3  การพัฒนามาตรฐานการศึกษาเพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของนักศึกษาและครูอาจารย์ในอาเซียน รวมทั้งเพื่อให้มีการยอมรับในคุณสมบัติทางวิชาการร่วมกันในอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และการแลกเปลี่ยนเยาวชน การพัฒนาระบบการศึกษาทางไกล ซึ่งช่วยสนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต การส่งเสริมและปรับปรุงการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมทางอาชีพ ทั้งในขั้นต้นและขั้นต่อเนื่อง ตลอดจนส่งเสริมและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของประเทศสมาชิกของอาเซียน         นโยบายที่ 4  การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีการศึกษาในอาเซียนเพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนประกอบด้วย การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมด้านการศึกษา การพัฒนาความสามารถ ประสบการณ์ในสาขาวิชาชีพสำคัญต่างๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรีการศึกษาควบคู่กับการเปิดเสรีด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน
         นโยบายที่ 5  การพัฒนาเยาวชนเพื่อเป็นทรัพยากรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
ประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN Member States)

flag-brunei-darussalam
เนการาบรูไนดารุสซาลาม : Negara Brunei Darussalam
การปกครอง : สมบูรณาญาสิทธิราชย์
ประมุข : สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาเลาะห์
เมืองหลวง : บันดาร์เสรีเบกาวัน
ภาษาราชการ : ภาษามาเลย์, ภาษาอาหรับ
หน่วยเงินตรา : บรูไนดอลลาร์
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mofat.gov.bn

flag-cambodia
ราชอาณาจักรกัมพูชา : Kingom of Cambodia
การปกครอง : ระบอบประชาธิปไตย
ประมุข : พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี
เมืองหลวง : กรุงพนมเปญ
ภาษาราชการ : ภาษาเขมร
หน่วยเงินตรา : เรียล
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mfaic.gov.kh

flag-indonesia
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย : Republic of Indonesia
การปกครอง : ระบอบสาธารณรัฐแบบประชาธิปไตย
ประมุข : พลโทซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน
เมืองหลวง : กรุงจาการ์ตา
ภาษาราชการ : ภาษาบาร์ฮาซา, ภาษาอินโดนีเซีย
หน่วยเงินตรา : รูเปียห์
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.kemlu.go.id

flag-lao_pdr
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว : The Loa People's Democratic Republic
การปกครอง : ระบอบสังคมนิยม
ประมุข : พลโทจูมมะลี ไซยะสอน
เมืองหลวง : นครหลวงเวียงจันทน์
ภาษาราชการ : ภาษาลาว
หน่วยเงินตรา : กีบ
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mofa.gov.la

flag-malaysia
มาเลเซีย : Malaysia
การปกครอง : สหพันธรัฐ โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีเป็นประมุข
ประมุข : สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านตวนกู อับดุล ฮาลิม มูอัซซอม ซาร์
เมืองหลวง : กรุงกัวลาลัมเปอร์
ภาษาราชการ : ภาษามาเลย์
หน่วยเงินตรา : ริงกิต
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.kln.gov.my


flag-myanmar
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ : Republic of the Union of the Myanmar
การปกครอง : ระบบประธานาธิบดี
ประมุข : พลเอกเต็ง เส่ง
เมืองหลวง : นครเนปิดอร์
ภาษาราชการ : ภาษาพม่า
หน่วยเงินตรา : จั๊ต
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mofa.gov.mm

flag-philippines
สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ : Republic of the Philippine
การปกครอง : สาธารณรัฐเดี่ยวระบบประธานาธิบดี
ประมุข : เบนิกโน อากีโน ที่ 3
เมืองหลวง : กรุงมะลิลา
ภาษาราชการ : ภาษาตากาล๊อก, ภาษาอังกฤษ
หน่วยเงินตรา : เปโซ
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.dfa.gov.ph

flag_singapore
สาธารณรัฐสิงคโปร์ : Republic of Singapore
การปกครอง : ระบบสาธารณรัฐแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
ประมุข : โทนี ตัน เค็ง ยัม
เมืองหลวง : สิงคโปร์
ภาษาราชการ : ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีนกลาง, ภาษามาเลย์, ภาษาทมิฬ
หน่วยเงินตรา : ดอลล่าร์สิงคโปร์
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mfa.gov.sg

flag-thailand
ราชอาณาจักรไทย : Kingdom of Thailand
การปกครอง : ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ประมุข : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เมืองหลวง : กรุงเทพมหานคร
ภาษาราชการ : ภาษาไทย
หน่วยเงินตรา : บาท
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mfa.go.th

flag-vietnam
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม : Socialist Republic of Vietnam
การปกครอง : ระบอบสังคมนิยมเวียดนาม
ประมุข : เจือง เติ๋น ซาง
เมืองหลวง : กรุงฮานอย
ภาษาราชการ : ภาษาเวียดนาม
หน่วยเงินตรา : ด่อง